ศูนย์ห้องปฏิบัติการอ้างอิงการสอบเทียบ (ศอส.) ภายใต้สถาบันห้องปฏิบัติการอ้างอิงแห่งชาติ (สอช.) กรมวิทยาศาสตร์บริการ นำโดย ดร.จิตตกานต์ อินเที่ยง ผู้อำนวยการ ศอส. ดำเนินการจัดอบรมหลักสูตร “กฎการตัดสินผล (Decision Rule)” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 เวลา 9.00-16.30 น. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรเกี่ยวกับกฎการตัดสินผล อันเป็นแนวทางสำคัญในการจัดทำรายงานผลการทดสอบและสอบเทียบที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO/IEC 17025: 2017
   การฝึกอบรมนี้ได้รับเกียรติจาก อาจารย์ญาณพัฒน์ อู่ทองทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกฎการตัดสินผลตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ให้แก่เจ้าหน้าที่กรมวิทย์ฯ บริการ
     กฎการตัดสินผล (Decision Rule) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินผลการทดสอบหรือสอบเทียบ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เกณฑ์ตามมาตรฐาน เกณฑ์ของผู้ผลิตเครื่องมือ หรือเกณฑ์ของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ ต้องพิจารณาร่วมกับค่าความไม่แน่นอนของการวัด (Uncertainty) การใช้กฎการตัดสินผลช่วยลดโอกาสการยอมรับค่าที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ (False Accept) และการปฏิเสธค่าที่เป็นไปตามเกณฑ์ (False Reject) โดยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของการประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การจัดอบรมครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพบุคลากรของกรมวิทย์ฯ บริการ แต่ยังเป็นการยกระดับระบบคุณภาพของห้องปฏิบัติการอ้างอิงการสอบเทียบให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ศอส. กรมวิทย์ฯ บริการ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้และศักยภาพของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต

ดูรูปภาพเพิ่มเติมคลิก>>

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของกระทรวง อว. ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง) โดยนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมต้อนรับและนำเสนอผลงาน กรมวิทย์ฯ บริการ ที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.สงขลา
     รัฐมนตรีศุภมาส ได้มอบนโยบาย “การขับเคลื่อนงานด้าน อววน. เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย” ว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยที่ประกอบไปด้วยสงขลา ชุมพร พัทลุง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพทางด้านภูมิประเทศเป็นอย่างมาก เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เหมาะแก่การทำการเกษตร ประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ตลอดจนเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว โดยกระทรวง อว. จะนำงานด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม( อววน.) ไปเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มุ่งสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง ขณะเดียวกันจะมีการยกระดับทรัพยากรบุคคลให้มีสมรรถนะและมีทักษะแรงงานเพื่ออนาคต “ที่สำคัญ กระทรวง อว.จะนำภูมิปัญญาท้องถิ่น มาเสริมสร้างศักยภาพและโอกาส เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและการค้าที่สูงขึ้นให้กับประชาชนในพื้นที่
      ด้านนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้รายงานผลการดำเนินงานในพื้นที่ภาคใต้ ในการส่งเสริมและผลักดันยางแท่ง STR ของประเทศไทย ซึ่งยางแท่ง STR เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาทต่อปี โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรในห้องปฏิบัติการทดสอบยางแท่งกว่า 200 คนต่อปี พร้อมทั้งสนับสนุนห้องปฏิบัติการทั่วประเทศผ่านโปรแกรมทดสอบความชำนาญ (PT) ครอบคลุม 88 แห่ง นอกจากนี้ สนับสนุนการรับรองคุณภาพห้องปฏิบัติการทดสอบยางตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 จำนวน 29 แห่ง ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ และนำเสนอผลงาน เทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำกรมวิทย์ฯ บริการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีศุภมาส ที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้น เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ในนาม “ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว.” ซึ่งกรมวิทย์ฯ บริการ ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องกรองน้ำในพื้นที่ประสบปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จำนวน 3 เครื่อง จังหวัดสงขลา จำนวน 5 เครื่อง และจังหวัดปัตตานี จำนวน 2 เครื่อง
สำหรับเครื่องกรองน้ำดื่มของกรมวิทย์ฯ บริการ ได้มีการพัฒนาให้สามารถกรองสนิมเหล็ก ตะกอน กลิ่น คลอรีน หินปูนหรือความกระด้างในน้ำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้ โดยผ่านท่อกรองบรรจุสารกรองสนิมเหล็ก ท่อกรองบรรจุถ่านกัมมันต์ ท่อกรองบรรจุเรซิน แล้วผ่านเข้าสู่ระบบกรองใสและระบบฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี ผลิตออกมาเป็นน้ำสะอาดและปลอดภัยได้ถึง 500 ลิตรต่อชั่วโมง เป็นเครื่องกรองน้ำคุณภาพดี และมีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยมีน้ำที่คุณภาพดี เหมาะสำหรับการอุปโภค บริโภค พร้อมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องกรองน้ำดื่มสะอาด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนต่อไป

    วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 นางจันทรัตน์ วรสรรพวิทย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการ (สบร.) กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) จัดการประชุมคณะทำงานการยอมรับผลการทดสอบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีนางภัทรภร ธนะภาวริศ ผู้ทรงคุณวุฒิ นางกมลา ทองมาก ผู้แทนจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และนางสาวดุษฎี จันทราช ผู้แทนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง นายทวี อำพาพันธ์ จากศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมหารือ ณ ห้องประชุม 402 ชั้น 4 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
   การประชุมฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และส่งเสริมศักยภาพห้องปฏิบัติการทดสอบสาขาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล ระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยการประชุมฯ ในครั้งนี้ได้ร่วมกันหารือพิจารณาแนวทางในการให้การรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบในรายการเสียงในสถานประกอบการ และเสียงในสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานวิธีทดสอบ และประกาศของหน่วยกำกับดูแลตามกฎหมาย เพื่อให้การตรวจวัดเสียงดังกล่าวเป็นไปตามหลักวิชาการและตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังร่วมกันพิจารณาประกาศกระทรวงแรงงานเรื่อง การประเมินอันตราย การศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการจัดทำแผนควบคุมดูแลลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ ตามราชกิจจานุเบกษา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการทดสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติการทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ หรือวิศวกรรม ในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ห้องปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยพัฒนาสู่มาตรฐานสากล ภายใต้สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย

     กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ขับเคลื่อนการพัฒนาฟาร์มไข่ผำอินทรีย์ต้นแบบให้ได้มาตรฐาน Good Agriculture Practices (GAP) และ Participatory Guarantee System (PGS) และพัฒนาสู่ฟาร์มไข่ผำให้สอดคล้องเป็นไปตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยนำร่องใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาสารคาม ร้อยยเอ็ด กาฬสินธุ์และ ขอนแก่น เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไทย
    ระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.กนิษฐ์ ตะปะสา ผู้อำนวยการสถาบันห้องปฏิบัติการอ้างอิงแห่งชาติ (สอช.) วศ. เปิดเผยว่า ไข่ผำ (Wolffia) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "คาเวียร์เขียว (Green Caviar)" เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งบางสายพันธุ์มีปริมาณสูงถึง 48.6% ทั้งยังได้รับการผลักดันให้เป็นพืชยุทธศาสตร์ในหมวดอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างไรก็ตาม การเพาะเลี้ยงไข่ผำในแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่ง ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากปัญหาการปนเปื้อนจากสารเคมี โลหะหนัก และจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว วศ. ได้ร่วมมือกับ มมส. ในการพัฒนาและยกระดับฟาร์มไข่ผำอินทรีย์ต้นแบบ โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้จากภาครัฐและเอกชน พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพสามารถผลิตไข่ผำให้ได้มาตรฐาน GAP และ PGS ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตให้มีความปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
    คณะนักวิจัย วศ. ได้เข้าพบ ดร.ศุภชัย สุทธิเจริญ รองคณบดีคณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาฟาร์มต้นแบบ พร้อมทั้งลงพื้นที่สำรวจข้อมูลและเยี่ยมชมฟาร์มไข่ผำของกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในสองพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านเชียงงาม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งใช้วิธีเพาะเลี้ยงไข่ผำในบ่อดินโดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติจากเขื่อนลำปาว และวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตและแปรรูปพืชสวนและพืชน้ำสำราญโรจน์ อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม ที่ใช้ระบบบ่อปูนซีเมนต์ซึ่งใช้น้ำจากแหล่งน้ำบาดาลในการเพาะเลี้ยง
    การลงพื้นที่ดังกล่าวช่วยให้สามารถประเมินศักยภาพของระบบการเพาะเลี้ยงแต่ละรูปแบบ และหาแนวทางในการพัฒนาฟาร์มต้นแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรไทยในการแข่งขันในตลาดอาหารแห่งอนาคต ต่อยอดสู่ความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรมของประเทศ