กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมการประชุม ISO/TC 157 Non-systemic contraceptives and STI barrier prophylactics ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 22–25 กันยายน 2568 ณ โรงแรมฮิลตัน มิลเลเนียม กรุงเทพฯ กับผู้แทนจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก
   การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นด้านการพัฒนามาตรฐานระดับนานาชาติ ด้านการทดสอบและควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยจากยางธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก อีกทั้งยังได้หยิบยกประเด็นด้านความปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างที่ทั่วโลกให้ความสนใจ อาทิ สารไนโตรซามีน (Nitrosamines) และ สารกลุ่ม PFAS (Per- and polyfluoroalkyl substances) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
        ในโอกาสนี้ ดร.อรสา อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนามาตรฐานและตรวจสอบรับรอง ทำหน้าที่เป็น Head of Delegation ของประเทศไทย และ ดร.อรวรรณ ปิ่นประยูร ผู้เชี่ยวชาญจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ ทำหน้าที่เป็น Project Leader ในการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐาน ISO 29941:2010 Condoms — Determination of nitrosamines migrating from natural rubber latex condoms ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญเพื่อการทดสอบหาปริมาณสารไนโตรซามีนซึ่งอาจตกค้างในผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัย สารไนโตรซามีนบางชนิดเป็นสารอันตรายและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้หากไม่มีการเฝ้าระวังในการผลิต
         ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ในฐานะองค์กรกำหนดมาตรฐาน (Standard Development Organisation: SDO) โดย ศูนย์พัฒนามาตรฐาน สถาบันพัฒนามาตรฐานและตรวจสอบรับรอง ได้ตอกย้ำบทบาทการขับเคลื่อนมาตรฐานแห่งชาติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สนับสนุนอุตสาหกรรมไทย และสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานของไทยในเวทีนานาชาติ

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์พัฒนามาตรฐาน สถาบันพัฒนามาตรฐานและตรวจสอบรับรอง
กรมวิทยาศาสตร์บริการ ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
โทร 02-201-7215 email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

     ด้วยวันที่ 28 กันยายน ของทุกปีเป็นวันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) เพื่อระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2460 ในการประกาศให้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจาก 9 หน่วยงาน ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานกฎระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ที่มีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกธงต้นแบบที่จะกำหนดสี ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์บริการได้รับมอบหมายให้พิจารณา  คัดเลือกธงเพื่อวัดสีธงต้นแบบจาก 3 แหล่ง ดังนี้
1.ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ วัดจากธง 2 ประเภท ได้แก่ ธงชัยเฉลิมพล และ ธงไตรรงค์
2.ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย
3.ธงจากราชนาวี
    โดยดูจากลักษณะปรากฏและการวัดค่าสีด้วยเครื่อง Colorimetric Spectrophotometer แล้วนำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อกำหนดค่าสีของธงต้นแบบ และได้ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 30 กันยายน 2560 ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำของธงชาติไทย เพื่อให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการกำหนดมาตรฐานแถบสีธงชาติไทย เพื่อให้มีมาตรฐานสีและเป็นมาตรฐานสีตามหน่วยสากล โดยกำหนดในลักษณะของค่าแนะนำทางราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้กำหนดจัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง 9 หน่วยงานที่ได้กล่าวข้างต้น
      และจากมติที่ประชุมการพิจารณากำหนดมาตรฐานแถบสีธงชาติไทยดังกล่าว มีมติให้มีการตรวจสอบค่าแถบสี (สีน้ำเงินแก่ สีขาว และสีแดง) จากธงชาติ 3 แหล่ง ซึ่งมติที่ประชุมให้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นผู้ตรวจสอบพิจารณาและนำเสนอต่อที่ประชุมและมีมติเห็นสมควรให้กำหนดค่าแถบสีธงชาติไทยจากธงชาติราชนาวี และใช้ผลของกรมวิทยาศาสตร์บริการ จากการทดสอบค่าแถบสีธงชาติไทย (สีน้ำเงินแก่ สีขาว และสีแดง) ด้วยเครื่อง Colorimetric Spectrophotometers ซึ่งผลของการทดสอบที่ได้นำเสนอต่อที่ประชุมได้กำหนดค่า CIELAB D65 สีแดง ค่า L* = 36.4 , a* = 55.47 , b* = 25.42 สีขาว ค่า L* = 96.61 , a* = -0.15 , b* = -1.48 และสีน้ำเงิน ค่า L* = 18.63 , a* = 7.89 , b* = -19.45 โดยได้กำหนดค่า ∆E* (delta E) ไม่เกิน 1.5 และได้ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 30 กันยายน 2560 ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำทางราชการที่ใช้ในปัจจุบัน

     วันที่ 28 กันยายน 2568 เวลา 08.00 น. กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดยนางพจมาน ท่าจีน รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรมเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติไทย เนื่องใน “วันพระราชทานธงชาติไทย” ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายนของทุกปี
  “ธงชาติไทย” ถือเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของชาติ เดิมมีหลายรูปแบบ จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณา  โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2460 และกำหนดความหมายของสีธงชาติไว้ว่า สีแดงหมายถึงชาติ คือประชาชน สีขาวหมายถึงศาสนา และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ธงไตรรงค์จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการเสียสละของบรรพบุรุษในการปกป้องแผ่นดิน เป็นเครื่องเตือนใจให้คนไทย  ทุกคนตระหนักถึงความรัก ความสามัคคี และความภูมิใจในความเป็นชาติ อันก่อให้เกิดพลังยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศ
  ทั้งนี้ วศ. ยังมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบค่าแถบสีของธงชาติไทย ด้วยเครื่อง Colorimetric Spectrophotometers โดยได้ประกาศราชกิจจานุเบกษากำหนด “ค่าแนะนำสีของธงต้นแบบ” ตั้งแต่ปี 2560 และใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานทางราชการที่ถือปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน

     26 กันยายน 2568 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ดร.พจมาน ท่าจีน รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ให้การต้อนรับ Dr. Faridah Hanim Ab Hanan ประธานคณะกรรมการวิชาการ ISO/TC 157 Non-systemic contraceptives and STI barrier prophylactics พร้อมด้วย Dr. Steffen Bodemeier และ Dr. Alexander DuChesne ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรกำหนดมาตรฐานจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
    การเยี่ยมชมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐาน ISO 29941 Condoms — Determination of N-nitrosamines migrating from natural rubber latex condoms ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญด้านการทดสอบ สารเอ็น-ไนโตรซามีน (N-nitrosamines) ในผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยจากยางธรรมชาติ สารเอ็น-ไนโตรซามีน (N-nitrosamines) เป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตยาง โดยสารบางชนิดจัดเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมในร่างกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้ใช้
     การหารือมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญสากลกับนักวิจัย ประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนามาตรฐานระดับนานาชาติที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั่วโลก โดยประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกถุงยางอนามัยรายใหญ่ของโลกจะมีบทบาทสำคัญในเวทีนี้
     ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ในฐานะองค์กรกำหนดมาตรฐาน (Standard Development Organisation: SDO) โดยการดำเนินงานของ ศูนย์พัฒนามาตรฐาน สถาบันพัฒนามาตรฐานและตรวจสอบรับรอง ได้แสดงบทบาทนำในการผลักดันมาตรฐานแห่งชาติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สนับสนุนอุตสาหกรรมไทย ควบคู่กับการคุ้มครองผู้บริโภค และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานของไทยในเวทีนานาชาติ