เกร็ดน่ารู้ By Dr.DSS

ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

DRD05
ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เราเห็นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนอง คือ ฟ้าแลบ และ ฟ้าร้อง ส่วนฟ้าผ่านั้นเกิดขึ้นอยากกว่าฟ้าแลบ ฟ้าร้อง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุได้ วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกให้ทราบว่า จะมาบอกว่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และวิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าให้ทราบครับ
.
ในก้อนเมฆจะมีการเสียดสีกันระหว่างโมเลกุลของน้ำและอากาศ ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น โดยที่ก้อนเมฆจะทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้าเหล่านี้เอาไว้ เมื่อก้อนเมฆมีประจุไฟฟ้ามากพอ ก็จะถ่ายโอนประจุไฟฟ้าจากที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง ไปยังที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ทำให้ประจุไฟฟ้าจำนวนมากเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงผ่านอากาศ เกิดความร้อนและแสงสว่างตามเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ จะเรียกว่า "ฟ้าแลบ" แต่ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน จะเรียกปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า "ฟ้าผ่า"

การเกิด "ฟ้าผ่า" จะมีกระแสไฟฟ้าที่มีค่าความต่างศักย์สูงมาก อยู่ในระดับหลายล้านโวลต์เกิดขึ้น ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อทุกสิ่งที่มันสัมผัสได้ รวมถึงตัวคนเราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่ทำอันตรายได้ถึงชีวิต ฟ้าผ่ามักเกิดขึ้นกับวัตถุที่อยู่เหนือระดับพื้นดิน ทั้งนี้เนื่องจากกระไฟฟ้าต้องการทางลัดระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน
.
เมื่อเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า การเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าทำให้อากาศในบริเวณที่สายฟ้าเคลื่อนที่ผ่านมีอุณหภูมิสูงมากจนขยายตัวอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดช็อคเวฟ (shock wave) ส่งเสียงดังออกมาเรียกว่า "ฟ้าร้อง" ฟ้าแลบและฟ้าร้องเกิดขึ้นพร้อมกัน โดยเราจะได้ยินเสียงฟ้าร้องภายหลังหรือเกือบจะพร้อมกับฟ้าแลบและฟ้าผ่าเนื่องจากเสียงเดินทางช้ากว่าแสง โดยแสงมีอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็วประมาณ 1/3 กิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้น ดังนั้นแสงจึงเดินทางมาถึงเราก่อนเสียง
.
ในบางครั้งเราไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังจากเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่านั้น เกิดจากสมบัติการหักเหของคลื่นเสียง โดยอากาศใกล้พื้นดินอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเบื้องบน ทำให้การเคลื่อนที่ของเสียงเคลื่อนที่ได้ในอัตราที่ต่างกัน คือ เคลื่อนที่ในอากาศที่มีอุณหภูมิสูงได้เร็วกว่าในอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ ดังนั้น การเคลื่อนที่ของเสียงจึงเบนขึ้นทีละน้อย ๆ จนข้ามหัวเราไป จึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องครับ
.
วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
1. เมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนองควรหลีกเลี่ยงการอยู่บนที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา หรือสนามเด็กเล่นที่ปราศจากต้นไม้หากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าการอยู่ในที่โล่งแจ้ง กระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าจะวิ่งตรงมาสู่ตัวเรา และไม่สวมใส่หรือมีสารที่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น สร้อยคอ แท่งโลหะ
.
2. สำหรับการปลูกสร้างอาคารสูงควรติดตั้งสายล่อฟ้าไว้บนยอดอาคารและเดินสายกราวน์ไปยังพื้นดิน เพื่อเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าจากอากาศให้รีบผ่านลงสู่พื้นดิน โดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่ตัวอาคาร
.
3. ในกรณีที่อยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ให้นั่งหมอบพร้อมย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นดินให้มากที่สุด ถ้านั่งด้วยขาเดียวจะปลอดภัยมากขึ้น ห้ามนอนราบกับพื้นดินเด็ดขาดเมื่อเกิดฟ้าผ่า
.
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา หรือโครงสร้างที่เป็นตัวนำไฟฟ้า
.
5. ห้ามยืนพิงต้นไม้ที่สูงเด่นกว่าต้นอื่น
.
6. ควรอยู่ในอาคารที่มีการติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่า และไม่ควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ หรืออยู่ใกล้กับประตูหน้าต่างที่มีขอบเป็นโลหะ
.
ใช้มือถือขณะฝนตก ล่อฟ้าผ่าจริงหรือไม่ 
ความเชื่อที่ว่าเล่นมือถือขณะฝนตกทำให้ฟ้าผ่าจริงๆ แล้วมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะมือถือไม่ได้เป็นสื่อล่อฟ้า การใช้มือถือในขณะที่ฝนตกไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนฟ้าผ่า เพราะจากการทดลองของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือ และทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และโทรศัพท์เวลาใช้งานจะอยู่ต่ำกว่าตัวคน
.
ที่สำคัญพลังงานของสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทำให้อากาศแตกตัวเป็นตัวนำได้ พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่าการใช้โทรศัพท์อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าผ่า อาจจะมีผลเหนี่ยวนำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรและเกิดการระเบิดจนเป็นสาเหตุ ของการบาดเจ็บได้ เป็นผลข้างเคียงแต่ไม่ใช่สื่อล่อให้ฟ้าผ่า อย่างไรก็ดีการใช้โทรศัพท์มือถือในสภาวะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำเข้าโทรศัพท์ก็มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรได้เช่นเดียวกัน
.
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก: National Geographic และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

วิธีการสังเกตข้าวเก่าและข้าวใหม่

DRD04

เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่า ข้าวที่กินอยู่ทุกวันเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ทำไมข้าวชนิดเดียวกันบางครั้งหุงแล้วแข็ง บางครั้งนิ่ม กินกับอาหารนี้อร่อย กินกับอาหารนั้นไม่อร่อย ซึ่งความนุ่มของข้าวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามอายุของข้าว ดังนั้นข้าวเก่าและข้าวใหม่ จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ถ้าไม่สังเกตให้ดีลักษณะของข้าวเก่าและข้าวใหม่จะคล้ายคลึงกันมาก วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกวิธีการสังเกตข้าวเก่าและข้าวใหม่กันครับ
.
“คุณสมบัติของข้าวที่เปลี่ยนไประหว่างการเก็บรักษาข้าว” คุณสมบัติทางด้านการหุงต้มและคุณภาพการรับประทาน (Eating quality) ของข้าวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องระหว่างการเก็บรักษา ทำให้คุณสมบัติด้านการดูดซึมน้ำ การพองตัว การละลายและความหนืดมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ข้าวสุกซึ่งหุงจากข้าวเก่ามีลักษณะร่วนแข็ง ไม่เกาะติดกัน มีของแข็งที่ละลายในน้ำที่หุงน้อย ซึ่งโดยทั่วไปการที่ข้าวจะมีคุณสมบัติดังกล่าวได้จะต้องทำการเก็บไว้เป็นเวลา 4-6 เดือน
.
“กลไกที่เกิดขึ้นระหว่างการเก็บรักษาข้าว” ระหว่างการเก็บรักษาข้าวมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางเคมีกายภาพของลิปิด (Lipid) โปรตีนและองค์ประกอบอื่นซึ่งมีผลมาจากเอนไซม์และออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ ลิปิดเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นกรดไขมันอิสระและเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับอะไมโลส และสารประกอบคาร์บอนิลและไฮโดรเปอร์ออกไซด์ซึ่งเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของโปรตีน การ Condensationและ Accumulation ของสารประกอบคาร์บอนิล การเกิดออกซิเดชันของโปรตีนเป็นการเกิดพันธะไดซัลไฟด์จากหมู่ซัลไฮดริลทำให้แรงในการยึดเกาะกันระหว่างโมเลกุลของโปรตีนกับสตาร์ชเพิ่มขึ้น ยับยั้งการพองตัวของสตาร์ชและมีผลต่อลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวสุก นอกจากนี้ระหว่างการเก็บรักษายังเกิดปฏิกิริยาระหว่างเฟอรูเลทเอสเทอร์ (Ferulate ester) ของเฮมิเซลลูโลสทำให้เกิดพันธะข้าม มีผลให้ความแข็งแรงของผนังเซลล์ในเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้น ระหว่างการเก็บรักษาเกิดกระบวนการที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ เคมีและชีววิทยา ซึ่งผนังเซลล์มีการปลดปล่อยกรดฟินอลิกอิสระและสารนี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านการออกซิเดชัน (Antioxidant) ซึ่งเกิดการรวมตัวกับกรดไขมันอิสระและเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับอะไมโลส ระหว่างการเก็บรักษา
.
“ข้าวเก่า” คือข้าวที่เก็บไว้นานค้างปีหรือเก็บเกี่ยวมากกว่า 4 – 6 เดือน แล้วจึงค่อยนำมาขัดสี เมล็ดข้าวจะมีสีขาวขุ่น มีรอยแตกหักบ้างเล็กน้อย เมื่อนำไปซาวกับน้ำ น้ำจะขาวขุ่น มีรอยแตกหัก หุงจะขึ้นหม้อดี เมล็ดข้าวไม่เกาะติดกัน เพราะมียางข้าวน้อยและจะแข็งกว่าข้าวใหม่
ข้าวเก่าหุงรับประทานอาหารไทยอร่อยมาก เพราะอาหารไทยส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทแกง เมื่อรับประทานคู่กับข้าวเก่าที่แข็ง ข้าวจะไม่เละเคี้ยวมัน และเหมาะมาทำข้าวผัดหรือข้าวแซ่ เพราะเมล็ดข้าวร่วน
.
“ข้าวใหม่” คือข้าวที่พึ่งเก็บเกี่ยวมาไม่นานแล้วนำมาขัดสีเมล็ดข้าวจึงมีสีขาวใสนวลสม่ำเสมอ จมูกข้าวยังติดกับเมล็ดข้าวอยู่บ้าง ข้าวใหม่ใช้มือกดจะหักได้ง่าย กลิ่นหอม บางพันธุ์ก้นของเมล็ดข้าวกระดกงอนเหมือนดาบ เวลานำไปซาว น้ำซาวข้าวจะค่อนข้างใส หุงไม่ค่อยขึ้นหม้อ เมล็ดข้าวเกาะติดกันเป็นก้อนและค่อนข้างแฉะ เพราะมียางข้าวมาก แต่มีรสชาติหวาน มีกลิ่นหอมกว่าข้าวเก่า นิยมนำมาทำเป็นข้าวต้มหรือโจ๊กเพราะยางทำให้นุ่มและเหนียวเกาะกันดี
.
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะชอบข้าวใหม่เพราะมีความนุ่มและหอมมากกว่าข้าวเก่า จะเห็นได้ว่าระยะเวลาการเก็บของข้าวจะมีผลต่อลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวสุก ถ้าเก็บไว้นานขึ้น ความนุ่ม และกลิ่นหอมจะลดลงแต่จะหุงขึ้นหม้อ ไม่แฉะ ให้คุณภาพในการหุงที่ดี ทั้งนี้การชอบทานข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลนะครับว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน

.ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก: กลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปข้าว จังหวัดพิษณุโลก
#กรมวิทยาศาสตร์บริการ #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #DoctorD #ข้าวเก่า #ข้าวใหม่

ขนมปังขึ้นรานิดเดียว ถ้าเราฉีกส่วนที่ขึ้นราออก จะกินต่อได้หรือไม่ ??

DRD03

มีเพื่อนๆ สอบถามว่า ขนมปังขึ้นรานิดเดียว ถ้าเราฉีกส่วนที่ขึ้นราออก จะกินต่อได้หรือไม่ Dr.DSS ขอตอบว่า กินต่อไม่ได้ครับ ต้องทิ้งทันที เพราะถึงแม้เราจะฉีกส่วนที่เป็นราออก แต่ในราขนาดเล็กที่เรามองไม่เห็นได้แผ่ขยาย และสร้างสารพิษแทรกอยู่บนขนมปังแล้ว ถ้ากินเข้าไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ และถ้ากินเข้าไปนานๆ อาจสะสมจนก่อมะเร็งได้ครับ

.
ขนมปังที่เราซื้อมารับประทาน หากเก็บไว้เป็นเวลานาน เราจะพบจุดสีดำบนแผ่นขนมปัง และมีเส้นใยสีขาวฟูๆ รอบๆ เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดสีดำนั้นคือ “ เชื้อรา ”
.
โดยปกติแล้ว เชื้อราสามารถอยู่ได้โดยการย่อยสลายและดูดซึมสารอาหารจากแหล่งที่มันไปอาศัยอยู่ เช่น บนขนมปัง แต่อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อราได้โดยการดูจากสีของมันเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสีของมันสามารถเปลี่ยนไปได้ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไปของเชื้อราสามารถทำให้สีของตัวมันเปลี่ยนได้อีกด้วย สายพันธุ์ของเชื้อราที่มักจะขึ้นบนขนมปัง ได้แก่ Aspergillus, Penicillium, Fusarium, Mucor และ Rhizopus ขณะที่เชื้อราบางสายพันธุ์สามารถบริโภคได้ อาทิ สายพันธุ์ที่ใช้ผลิต Blue Cheese
.
USDA (United States Department of Agriculture: หน่วยงานรับรองด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา) แนะนำว่า ควรทิ้งขนมปังเมื่อพบเห็นเชื้อรา แม้ว่าเราจะเห็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของเชื้อราบนแผ่นขนมปัง แต่เส้นใยพวกนั้นจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปตามรูของขนมปัง
.
นอกจากนี้เชื้อราบางชนิดยังสามารถผลิตสารที่เป็นพิษ ที่เรียกว่า mycotoxins ซึ่งพิษนี้อาจจะกระจายไปทั่วทุกส่วนของขนมปังแล้วก็เป็นได้ ถ้าเราได้รับ mycotoxins ในปริมาณมาก จะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ โดยจะไปรบกวนการทำงานของเชื้อประจำถิ่น (Normal flora) ในร่างกายให้ไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้ mycotoxins สามารถออกฤทธิ์ในสัตว์ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรนำขนมปังขึ้นราไปให้สัตว์กินเด็ดขาด
.
เราสามารถหลีกเลี่ยงการกินเชื้อราบนขนมปังได้โดย
1. ดูวันหมดอายุ บรรจุภัณฑ์เรียบร้อย ไม่มีรอยฉีกขาด
2. สังเกตุขนมปังอย่างรอบคอบก่อนทานว่าไม่มีเชื้อรา
3. หากรับประทานไม่หมด ควรปิดถุงให้สนิท เก็บในที่ไม่โดนแสงแดดหรือในกล่องพลาสติก เลี่ยงเก็บในที่มีความชื้นสูง เก็บขนมปังตามที่ระบุวันหมดอายุไว้ที่ข้างบรรจุภัณฑ์
.
สำหรับเพื่อนๆ คนใดที่ชอบทานขนมปัง การเก็บขนมปังนั้น ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิห้อง ในที่แห้งไม่โดนแสง เช่น ในลิ้นชักหรือกล่องเก็บขนมปังเพราะแสงแดดทำให้ขนมปังแห้ง ขณะที่ความชื้น ก็จะทำให้ขนมปังเกิดรา และอายุของขนมปังขึ้นอยู่กับประเภทของขนมปัง ขนมปังที่ใส่สารกันบูด จะเก็บได้ประมาณ 10 วัน ถ้าซื้อที่ร้านเบเกอรี่ที่อบเอง จะเก็บได้ 2-3 วัน แต่ขนมปังที่มีปริมาณไขมันมาก อย่าง บริโอช หรือขนมปังลูกเกด จะเก็บได้ 3-4 วัน เพราะไขมันจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเอา สำหรับเคล็บลับง่ายๆ ในการยืดอายุขนมปัง ให้อยู่ได้นานขึ้นและกลับมานุ่มน่าทานเหมือนเดิม ตามนี้เลยครับ
.
1. เก็บขนมปังใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิท ช่วยให้เก็บได้นานขึ้น: การเก็บขนมปังใส่ถุงก็มีหลายลักษณะให้ได้เลือกนำไปใช้ ได้เเก่ (1) เก็บใส่ถุงโดยมัดหนังยางเพื่อป้องกันการเลอะเทอะของอาหาร (2) เก็บใส่ถุงที่มีซิปล็อค และ (3) เก็บใส่ถุงโดยใช้น้ำอุ่นไล่อากาศ
2. นำขนมปังใส่ถุงซิปล็อค และแช่ช่องฟรีซ ทำให้ขนมปังเก็บได้นานถึง1-2เดือน (คุณภาพขนมปังจะลดลงตามเวลา)
3. ไม่ควรเปิดถุงทิ้งไว้ เพราะฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรียอาจเข้าไปในถุงได้
4. ไม่ควรวางขนมปังตากลมหรือตากแดด เพราะจะทำให้ขนมปังแห้งและแข็งเร็วขึ้น
5. ไม่ควรวางขนมปังใกล้สารเคมี เพราะจะทำให้ขนมปังดูดซับกลิ่นสารเคมีเข้าไป
6. พรมน้ำเล็กน้อยช่วยให้ขนมปังหายแห้งและแข็ง: เราสามารถทำให้ขนมปังที่แห้งและแข็งนั้นนุ่มลงได้โดยการพรมน้ำและนำไปเข้าไมโครเวฟ 5-10 วินาที เพียงเท่านี้ขนมปังก็จะนิ่มขึ้น
.
กรมวิทย์ฯ บริการ ที่ทำงานของ Dr.DSS เปิดให้บริการทดสอบปริมาณสารพิษจากเชื้อราในอาหารด้วยนะครับ หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กลุ่มความปลอดภัยในอาหาร กองผลิตภัณฑ์อาหารและวัสดุสัมผัสอาหาร โทรศัพท์ 02-201-7195

"หมดอายุ" หรือ "บริโภคก่อน" ต่างกันอย่างไร??

DRD02

ในการเลือกซื้ออาหารนั้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องดูทุกครั้ง คือฉลาก เพื่อดู วันที่ผลิต/หมดอายุ วิธีการเก็บรักษา วิธีปรุง และคำเตือนต่างๆ แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับว่า บางฉลากใช้คำว่า “หมดอายุ” หรือ “ควรบริโภคก่อน” ซึ่ง 2 คำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกให้ทราบครับ
.
“หมดอายุ” ตัวย่อ EXP ย่อมาจาก Expire หมายถึง วันที่อาหารนั้นหมดอายุ หลังจากวันนั้นแล้วอาหารจะเน่าเสีย หรือบูด ห้ามรับประทาน ควรนำไปทิ้ง
.
“ควรบริโภคก่อน” ตัวย่อ BBE ย่อมาจาก Best Before หมายถึง อาหารจะมีรสชาติดี ยังคงคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามที่ระบุไว้บนฉลากอาหารจนถึงวันนั้น หลังจากวันนั้นไปรสชาติ คุณภาพและคุณค่าทางอาหารจะลดลง เช่น ความสด กลิ่นหอมอาจลดลง ไม่กรอบเหมือนเดิม แต่จะไม่มีปัญหาในเชิงความปลอดภัย จึงยังสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตราย แต่อาจไม่ได้ประโยชน์จากอาหารนั้นตามที่ระบุไว้บนฉลากอาหารก็ได้ และจะกำหนดวันล่วงหน้าไว้ระยะหนึ่งก่อนที่อาหารนั้นจะหมดอายุหรือเสีย
.
แต่ทั้งนี้ก่อนรับประทานอาหารเพื่อนๆ ควรสังเกตคือ รูปลักษณ์ของอาหาร เช่น สี กลิ่น รส เนื้อสัมผัส หากเปลี่ยนไปแต่ยังไม่ถึงวันหมดอายุที่กำหนด ก็ไม่ควรรับประทานเพราะอาจเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการขนส่ง หรือการเก็บรักษาก็ได้

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อเลือกใช้พริกป่น

 

DRD01

พริก เป็นพืชคู่ครัวไทยมานาน ใช้เป็นเครื่องปรุงรสที่เติมให้อาหารมีรสเผ็ดร้อน พริกป่นผลิตขึ้นเพื่อใช้ปรุงอาหารและเพื่อเก็บไว้ใช้นานขึ้น ปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค เราจึงมักเห็นพริกป่น สำเร็จแบ่งบรรจุใส่ถุงวางขาย ทั้งในตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านค้าปลีก ค้าส่งทั่วไป โดยพริกป่นที่เก็บไว้นานๆ อาจมีสารก่อมะเร็งเกิดขึ้น ต้องระมัดระวังในการเลือกใช้ วันนี้ Dr.DSS มีข้อแนะนำในการเลือกซื้อเลือกใช้พริกป่นมาบอกให้ทราบครับ
.
ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนชื้น อาจทำให้อาหารและวัตถุดิบหลายชนิด เช่น อาหารจำพวกแป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ข้าว ข้าวโพด ถั่วลิสง กระเทียม พริกแห้ง พริกป่น กุ้งแห้ง สมุนไพร เป็นต้น สามารถขึ้นราได้ ซึ่งได้แก่ เชื้อราแอสเพอร์จิลัส ฟลาวัส และแอสเพอร์จิลัส พาราซิติคัส ที่มีสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง จะสร้าง “สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin)” ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในตับชนิดร้ายแรง เมื่อเราได้รับสารพิษแอฟลาทอกซินเข้าสู่ร่างกายในจำนวนน้อย แต่ได้รับเป็นประจำ จะเกิดการสะสม จนทําให้มีอาการชัก หายใจลำบาก ตับถูกทําลาย หัวใจและสมองบวม ที่สำคัญยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตับ สารพิษชนิดนี้ทนความร้อนได้ถึง 260 องศาเซลเซียส ทำให้การปรุงอาหารไม่สามารถทำลายพิษได้ กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกำหนดให้สารนี้ปนเปื้อนอาหารได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย
.
การจะทำให้ได้พริกป่นที่สะอาดและปลอดภัยนั้น ผู้ผลิต ผู้ขาย จะต้อง ใส่ใจกรรมวิธีการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบพริกสดที่ต้องสดใหม่ไม่เน่าเสีย ไม่ขึ้นรา และล้างให้สะอาดก่อนนำมาแปรรูป การตากหรืออบแห้ง ต้องตากพริก ให้แห้งสนิท สถานที่ตากต้องสะอาด ถูกสุขลักษณะและไม่ตากบนพื้นดิน การคั่วให้พริกหอม และการตำหรือการป่น ก็ต้องใช้อุปกรณ์ ภาชนะและ ทำในสถานที่ที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ มีการป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมปะปน และขั้นสุดท้ายสถานที่บรรจุและเก็บพริกป่น จะต้องถูกสุขลักษณะ ไม่อับชื้นและมีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย
.
วิธีหลีกเลี่ยงสารอะฟลาทอกซินจากพริกป่น
1. เลือกรับประทานพริกป่นใหม่ที่มีลักษณะร่วน หากมีการกระจุกตัวอยู่เป็นก้อนและมีเส้นใยสีขาว แสดงว่า เก็บไว้นานจนมีการขึ้นราก็ไม่ควรบริโภค
.
2. เลือกซื้อพริกป่น ที่ฉลากมีเครื่องหมาย อย. และสังเกตวันเดือนปีที่ผลิตหรือที่หมดอายุ

3. ไม่ซื้อพริกป่นที่อยู่ในถุง ที่มีสีคล้ำ ดำ มีราขึ้น หรือมีลักษณะจับตัวเป็นก้อน เพราะลักษณะข้างต้นแสดงว่าพริกป่นมีเชื้อราปนเปื้อน และเป็นไปได้ว่าจะมีสารพิษที่ชื่อ แอฟลาทอกซิน ปนเปื้อนอยู่ด้วย
.
4. ถ้าเป็นไปได้ควรซื้อพริกแห้งมาคั่วป่นเองในปริมาณที่พอเหมาะกับการบริโภค
.
5. เก็บพริกป่นแห้งคั่วในที่แห้งและเย็น
.
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม
#กรมวิทยาศาสตร์บริการ #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #DoctorDSS #พริกป่น


Page 1 of 2