สาระดี...จากกรมวิทย์ฯบริการ

10 พืชสมุนไพรประจำบ้าน เพื่อดูแลสุขภาพด้วยตนเอง

 
info1 68
 
 
 
? ปัจจุบันประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ ใกล้ตัวมากมาย สมุนไพรไทยถือเป็นทางเลือกที่คนทั่วไปนิยมใช้ดูแลสุขภาพในเบื้องต้น วันนี้ สาระดี By.DSS จะมาแนะนำ 10 พืชสมุนไพรประจำบ้าน เพื่อใช้ดูแลสุขภาพ ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากท้องตลาดทั่วไปและสามารถปลูกได้เองที่บ้าน
1. กะเพราแดง มีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณแก้ปวดท้อง ท้องอืด แก้ลมจุกเสียดแน่นท้อง ขับลมทำให้เรอเหมาะสำหรับเด็ก
2. ขิง มีรสเผ็ดร้อนหวาน สรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืด ขับลม แน่นจุกเสียด ป้องกันและบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน จากอาการเมารถ เมาเรือ
3. ตะไคร้ มีรสปร่า กลิ่นหอม มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ เจริญอาหาร ขับปัสสาวะ
4. ใบชะพลู มีรสเผ็ดเล็กน้อย สรรพคุณ ช่วยเจริญอาหาร ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
5. บัวบก สรรพคุณตามตำรายาไทยใช้บัวบกแก้ไข้ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ใช้เป็นยาภายนอกรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว เป็นยาบำรุงและยาอายุวัฒนะ ช่วยเสริมสร้างความจำ ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในคนพบว่าบัวบกมีฤทธิ์รักษาความผิดปกติของหลอดเลือดดำ ช่วยให้คลายกังวล รักษาแผลที่ผิวหนัง และรักษาแผลในทางเดินอาหาร
6. ฟ้าทะลายโจร มีรสขม สรรพคุณแก้ไข้ บรรเทาอาการเจ็บคอ บรรเทาอาการของโรคหวัด ให้ได้ผลดีต้องรับประทานทันทีเมื่อมีอาการ สำหรับข้อควรระวัง หากใช้ฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้นระหว่างใช้ยา ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ สำหรับข้อห้าม ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และผู้ที่แพ้ฟ้าทะลายโจร
7. มะกรูด มีรสเปรี้ยว สรรพคุณผิวมะกรูด แก้อาการหน้ามืด วิงเวียน น้ำมะกรูด แก้ไอ ขับเสมหะและใช้บำรุงเส้นผม
8. มะระขี้นก มีรสขมจัด สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เจริญอาหาร ผลมะระอ่อน ใช้รับประทานเป็นยาเจริญอาหารโดยการต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ถ้าผลสุกสีเหลืองห้ามรับประทาน เพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยพบว่า มะระขี้นกมีสารชาแรนตินช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
9. ว่านหางจระเข้ วุ้นของว่านหางจระเข้ มีรสเย็นจืด สรรพคุณ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
10. สะระแหน่ สรรพคุณบรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ขับลม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าสมุนไพรใกล้ตัวมากมายเหล่านี้มีประโยชน์หาง่าย ใช้สะดวกและได้ผลดี

ที่มาข้อมูล: https://www.hfocus.org/content/2018/01/15250

ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

DRD05
ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เราเห็นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนอง คือ ฟ้าแลบ และ ฟ้าร้อง ส่วนฟ้าผ่านั้นเกิดขึ้นอยากกว่าฟ้าแลบ ฟ้าร้อง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุได้ วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกให้ทราบว่า จะมาบอกว่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และวิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าให้ทราบครับ
.
ในก้อนเมฆจะมีการเสียดสีกันระหว่างโมเลกุลของน้ำและอากาศ ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น โดยที่ก้อนเมฆจะทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้าเหล่านี้เอาไว้ เมื่อก้อนเมฆมีประจุไฟฟ้ามากพอ ก็จะถ่ายโอนประจุไฟฟ้าจากที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง ไปยังที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ทำให้ประจุไฟฟ้าจำนวนมากเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงผ่านอากาศ เกิดความร้อนและแสงสว่างตามเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ จะเรียกว่า "ฟ้าแลบ" แต่ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน จะเรียกปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า "ฟ้าผ่า"

การเกิด "ฟ้าผ่า" จะมีกระแสไฟฟ้าที่มีค่าความต่างศักย์สูงมาก อยู่ในระดับหลายล้านโวลต์เกิดขึ้น ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อทุกสิ่งที่มันสัมผัสได้ รวมถึงตัวคนเราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่ทำอันตรายได้ถึงชีวิต ฟ้าผ่ามักเกิดขึ้นกับวัตถุที่อยู่เหนือระดับพื้นดิน ทั้งนี้เนื่องจากกระไฟฟ้าต้องการทางลัดระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน
.
เมื่อเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า การเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าทำให้อากาศในบริเวณที่สายฟ้าเคลื่อนที่ผ่านมีอุณหภูมิสูงมากจนขยายตัวอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดช็อคเวฟ (shock wave) ส่งเสียงดังออกมาเรียกว่า "ฟ้าร้อง" ฟ้าแลบและฟ้าร้องเกิดขึ้นพร้อมกัน โดยเราจะได้ยินเสียงฟ้าร้องภายหลังหรือเกือบจะพร้อมกับฟ้าแลบและฟ้าผ่าเนื่องจากเสียงเดินทางช้ากว่าแสง โดยแสงมีอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็วประมาณ 1/3 กิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้น ดังนั้นแสงจึงเดินทางมาถึงเราก่อนเสียง
.
ในบางครั้งเราไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังจากเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่านั้น เกิดจากสมบัติการหักเหของคลื่นเสียง โดยอากาศใกล้พื้นดินอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเบื้องบน ทำให้การเคลื่อนที่ของเสียงเคลื่อนที่ได้ในอัตราที่ต่างกัน คือ เคลื่อนที่ในอากาศที่มีอุณหภูมิสูงได้เร็วกว่าในอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ ดังนั้น การเคลื่อนที่ของเสียงจึงเบนขึ้นทีละน้อย ๆ จนข้ามหัวเราไป จึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องครับ
.
วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
1. เมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนองควรหลีกเลี่ยงการอยู่บนที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา หรือสนามเด็กเล่นที่ปราศจากต้นไม้หากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าการอยู่ในที่โล่งแจ้ง กระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าจะวิ่งตรงมาสู่ตัวเรา และไม่สวมใส่หรือมีสารที่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น สร้อยคอ แท่งโลหะ
.
2. สำหรับการปลูกสร้างอาคารสูงควรติดตั้งสายล่อฟ้าไว้บนยอดอาคารและเดินสายกราวน์ไปยังพื้นดิน เพื่อเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าจากอากาศให้รีบผ่านลงสู่พื้นดิน โดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่ตัวอาคาร
.
3. ในกรณีที่อยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ให้นั่งหมอบพร้อมย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นดินให้มากที่สุด ถ้านั่งด้วยขาเดียวจะปลอดภัยมากขึ้น ห้ามนอนราบกับพื้นดินเด็ดขาดเมื่อเกิดฟ้าผ่า
.
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา หรือโครงสร้างที่เป็นตัวนำไฟฟ้า
.
5. ห้ามยืนพิงต้นไม้ที่สูงเด่นกว่าต้นอื่น
.
6. ควรอยู่ในอาคารที่มีการติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่า และไม่ควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ หรืออยู่ใกล้กับประตูหน้าต่างที่มีขอบเป็นโลหะ
.
ใช้มือถือขณะฝนตก ล่อฟ้าผ่าจริงหรือไม่ 
ความเชื่อที่ว่าเล่นมือถือขณะฝนตกทำให้ฟ้าผ่าจริงๆ แล้วมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะมือถือไม่ได้เป็นสื่อล่อฟ้า การใช้มือถือในขณะที่ฝนตกไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนฟ้าผ่า เพราะจากการทดลองของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือ และทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และโทรศัพท์เวลาใช้งานจะอยู่ต่ำกว่าตัวคน
.
ที่สำคัญพลังงานของสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทำให้อากาศแตกตัวเป็นตัวนำได้ พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่าการใช้โทรศัพท์อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าผ่า อาจจะมีผลเหนี่ยวนำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรและเกิดการระเบิดจนเป็นสาเหตุ ของการบาดเจ็บได้ เป็นผลข้างเคียงแต่ไม่ใช่สื่อล่อให้ฟ้าผ่า อย่างไรก็ดีการใช้โทรศัพท์มือถือในสภาวะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำเข้าโทรศัพท์ก็มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรได้เช่นเดียวกัน
.
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก: National Geographic และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

วิธีการสังเกตข้าวเก่าและข้าวใหม่

DRD04

เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่า ข้าวที่กินอยู่ทุกวันเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ทำไมข้าวชนิดเดียวกันบางครั้งหุงแล้วแข็ง บางครั้งนิ่ม กินกับอาหารนี้อร่อย กินกับอาหารนั้นไม่อร่อย ซึ่งความนุ่มของข้าวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามอายุของข้าว ดังนั้นข้าวเก่าและข้าวใหม่ จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ถ้าไม่สังเกตให้ดีลักษณะของข้าวเก่าและข้าวใหม่จะคล้ายคลึงกันมาก วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกวิธีการสังเกตข้าวเก่าและข้าวใหม่กันครับ
.
“คุณสมบัติของข้าวที่เปลี่ยนไประหว่างการเก็บรักษาข้าว” คุณสมบัติทางด้านการหุงต้มและคุณภาพการรับประทาน (Eating quality) ของข้าวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องระหว่างการเก็บรักษา ทำให้คุณสมบัติด้านการดูดซึมน้ำ การพองตัว การละลายและความหนืดมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ข้าวสุกซึ่งหุงจากข้าวเก่ามีลักษณะร่วนแข็ง ไม่เกาะติดกัน มีของแข็งที่ละลายในน้ำที่หุงน้อย ซึ่งโดยทั่วไปการที่ข้าวจะมีคุณสมบัติดังกล่าวได้จะต้องทำการเก็บไว้เป็นเวลา 4-6 เดือน
.
“กลไกที่เกิดขึ้นระหว่างการเก็บรักษาข้าว” ระหว่างการเก็บรักษาข้าวมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางเคมีกายภาพของลิปิด (Lipid) โปรตีนและองค์ประกอบอื่นซึ่งมีผลมาจากเอนไซม์และออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ ลิปิดเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นกรดไขมันอิสระและเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับอะไมโลส และสารประกอบคาร์บอนิลและไฮโดรเปอร์ออกไซด์ซึ่งเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของโปรตีน การ Condensationและ Accumulation ของสารประกอบคาร์บอนิล การเกิดออกซิเดชันของโปรตีนเป็นการเกิดพันธะไดซัลไฟด์จากหมู่ซัลไฮดริลทำให้แรงในการยึดเกาะกันระหว่างโมเลกุลของโปรตีนกับสตาร์ชเพิ่มขึ้น ยับยั้งการพองตัวของสตาร์ชและมีผลต่อลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวสุก นอกจากนี้ระหว่างการเก็บรักษายังเกิดปฏิกิริยาระหว่างเฟอรูเลทเอสเทอร์ (Ferulate ester) ของเฮมิเซลลูโลสทำให้เกิดพันธะข้าม มีผลให้ความแข็งแรงของผนังเซลล์ในเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้น ระหว่างการเก็บรักษาเกิดกระบวนการที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ เคมีและชีววิทยา ซึ่งผนังเซลล์มีการปลดปล่อยกรดฟินอลิกอิสระและสารนี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านการออกซิเดชัน (Antioxidant) ซึ่งเกิดการรวมตัวกับกรดไขมันอิสระและเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับอะไมโลส ระหว่างการเก็บรักษา
.
“ข้าวเก่า” คือข้าวที่เก็บไว้นานค้างปีหรือเก็บเกี่ยวมากกว่า 4 – 6 เดือน แล้วจึงค่อยนำมาขัดสี เมล็ดข้าวจะมีสีขาวขุ่น มีรอยแตกหักบ้างเล็กน้อย เมื่อนำไปซาวกับน้ำ น้ำจะขาวขุ่น มีรอยแตกหัก หุงจะขึ้นหม้อดี เมล็ดข้าวไม่เกาะติดกัน เพราะมียางข้าวน้อยและจะแข็งกว่าข้าวใหม่
ข้าวเก่าหุงรับประทานอาหารไทยอร่อยมาก เพราะอาหารไทยส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทแกง เมื่อรับประทานคู่กับข้าวเก่าที่แข็ง ข้าวจะไม่เละเคี้ยวมัน และเหมาะมาทำข้าวผัดหรือข้าวแซ่ เพราะเมล็ดข้าวร่วน
.
“ข้าวใหม่” คือข้าวที่พึ่งเก็บเกี่ยวมาไม่นานแล้วนำมาขัดสีเมล็ดข้าวจึงมีสีขาวใสนวลสม่ำเสมอ จมูกข้าวยังติดกับเมล็ดข้าวอยู่บ้าง ข้าวใหม่ใช้มือกดจะหักได้ง่าย กลิ่นหอม บางพันธุ์ก้นของเมล็ดข้าวกระดกงอนเหมือนดาบ เวลานำไปซาว น้ำซาวข้าวจะค่อนข้างใส หุงไม่ค่อยขึ้นหม้อ เมล็ดข้าวเกาะติดกันเป็นก้อนและค่อนข้างแฉะ เพราะมียางข้าวมาก แต่มีรสชาติหวาน มีกลิ่นหอมกว่าข้าวเก่า นิยมนำมาทำเป็นข้าวต้มหรือโจ๊กเพราะยางทำให้นุ่มและเหนียวเกาะกันดี
.
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะชอบข้าวใหม่เพราะมีความนุ่มและหอมมากกว่าข้าวเก่า จะเห็นได้ว่าระยะเวลาการเก็บของข้าวจะมีผลต่อลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวสุก ถ้าเก็บไว้นานขึ้น ความนุ่ม และกลิ่นหอมจะลดลงแต่จะหุงขึ้นหม้อ ไม่แฉะ ให้คุณภาพในการหุงที่ดี ทั้งนี้การชอบทานข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลนะครับว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน

.ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก: กลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปข้าว จังหวัดพิษณุโลก
#กรมวิทยาศาสตร์บริการ #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #DoctorD #ข้าวเก่า #ข้าวใหม่

ขนมปังขึ้นรานิดเดียว ถ้าเราฉีกส่วนที่ขึ้นราออก จะกินต่อได้หรือไม่ ??

DRD03

มีเพื่อนๆ สอบถามว่า ขนมปังขึ้นรานิดเดียว ถ้าเราฉีกส่วนที่ขึ้นราออก จะกินต่อได้หรือไม่ Dr.DSS ขอตอบว่า กินต่อไม่ได้ครับ ต้องทิ้งทันที เพราะถึงแม้เราจะฉีกส่วนที่เป็นราออก แต่ในราขนาดเล็กที่เรามองไม่เห็นได้แผ่ขยาย และสร้างสารพิษแทรกอยู่บนขนมปังแล้ว ถ้ากินเข้าไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ และถ้ากินเข้าไปนานๆ อาจสะสมจนก่อมะเร็งได้ครับ

.
ขนมปังที่เราซื้อมารับประทาน หากเก็บไว้เป็นเวลานาน เราจะพบจุดสีดำบนแผ่นขนมปัง และมีเส้นใยสีขาวฟูๆ รอบๆ เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดสีดำนั้นคือ “ เชื้อรา ”
.
โดยปกติแล้ว เชื้อราสามารถอยู่ได้โดยการย่อยสลายและดูดซึมสารอาหารจากแหล่งที่มันไปอาศัยอยู่ เช่น บนขนมปัง แต่อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อราได้โดยการดูจากสีของมันเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสีของมันสามารถเปลี่ยนไปได้ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไปของเชื้อราสามารถทำให้สีของตัวมันเปลี่ยนได้อีกด้วย สายพันธุ์ของเชื้อราที่มักจะขึ้นบนขนมปัง ได้แก่ Aspergillus, Penicillium, Fusarium, Mucor และ Rhizopus ขณะที่เชื้อราบางสายพันธุ์สามารถบริโภคได้ อาทิ สายพันธุ์ที่ใช้ผลิต Blue Cheese
.
USDA (United States Department of Agriculture: หน่วยงานรับรองด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา) แนะนำว่า ควรทิ้งขนมปังเมื่อพบเห็นเชื้อรา แม้ว่าเราจะเห็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของเชื้อราบนแผ่นขนมปัง แต่เส้นใยพวกนั้นจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปตามรูของขนมปัง
.
นอกจากนี้เชื้อราบางชนิดยังสามารถผลิตสารที่เป็นพิษ ที่เรียกว่า mycotoxins ซึ่งพิษนี้อาจจะกระจายไปทั่วทุกส่วนของขนมปังแล้วก็เป็นได้ ถ้าเราได้รับ mycotoxins ในปริมาณมาก จะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ โดยจะไปรบกวนการทำงานของเชื้อประจำถิ่น (Normal flora) ในร่างกายให้ไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้ mycotoxins สามารถออกฤทธิ์ในสัตว์ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรนำขนมปังขึ้นราไปให้สัตว์กินเด็ดขาด
.
เราสามารถหลีกเลี่ยงการกินเชื้อราบนขนมปังได้โดย
1. ดูวันหมดอายุ บรรจุภัณฑ์เรียบร้อย ไม่มีรอยฉีกขาด
2. สังเกตุขนมปังอย่างรอบคอบก่อนทานว่าไม่มีเชื้อรา
3. หากรับประทานไม่หมด ควรปิดถุงให้สนิท เก็บในที่ไม่โดนแสงแดดหรือในกล่องพลาสติก เลี่ยงเก็บในที่มีความชื้นสูง เก็บขนมปังตามที่ระบุวันหมดอายุไว้ที่ข้างบรรจุภัณฑ์
.
สำหรับเพื่อนๆ คนใดที่ชอบทานขนมปัง การเก็บขนมปังนั้น ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิห้อง ในที่แห้งไม่โดนแสง เช่น ในลิ้นชักหรือกล่องเก็บขนมปังเพราะแสงแดดทำให้ขนมปังแห้ง ขณะที่ความชื้น ก็จะทำให้ขนมปังเกิดรา และอายุของขนมปังขึ้นอยู่กับประเภทของขนมปัง ขนมปังที่ใส่สารกันบูด จะเก็บได้ประมาณ 10 วัน ถ้าซื้อที่ร้านเบเกอรี่ที่อบเอง จะเก็บได้ 2-3 วัน แต่ขนมปังที่มีปริมาณไขมันมาก อย่าง บริโอช หรือขนมปังลูกเกด จะเก็บได้ 3-4 วัน เพราะไขมันจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเอา สำหรับเคล็บลับง่ายๆ ในการยืดอายุขนมปัง ให้อยู่ได้นานขึ้นและกลับมานุ่มน่าทานเหมือนเดิม ตามนี้เลยครับ
.
1. เก็บขนมปังใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิท ช่วยให้เก็บได้นานขึ้น: การเก็บขนมปังใส่ถุงก็มีหลายลักษณะให้ได้เลือกนำไปใช้ ได้เเก่ (1) เก็บใส่ถุงโดยมัดหนังยางเพื่อป้องกันการเลอะเทอะของอาหาร (2) เก็บใส่ถุงที่มีซิปล็อค และ (3) เก็บใส่ถุงโดยใช้น้ำอุ่นไล่อากาศ
2. นำขนมปังใส่ถุงซิปล็อค และแช่ช่องฟรีซ ทำให้ขนมปังเก็บได้นานถึง1-2เดือน (คุณภาพขนมปังจะลดลงตามเวลา)
3. ไม่ควรเปิดถุงทิ้งไว้ เพราะฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรียอาจเข้าไปในถุงได้
4. ไม่ควรวางขนมปังตากลมหรือตากแดด เพราะจะทำให้ขนมปังแห้งและแข็งเร็วขึ้น
5. ไม่ควรวางขนมปังใกล้สารเคมี เพราะจะทำให้ขนมปังดูดซับกลิ่นสารเคมีเข้าไป
6. พรมน้ำเล็กน้อยช่วยให้ขนมปังหายแห้งและแข็ง: เราสามารถทำให้ขนมปังที่แห้งและแข็งนั้นนุ่มลงได้โดยการพรมน้ำและนำไปเข้าไมโครเวฟ 5-10 วินาที เพียงเท่านี้ขนมปังก็จะนิ่มขึ้น
.
กรมวิทย์ฯ บริการ ที่ทำงานของ Dr.DSS เปิดให้บริการทดสอบปริมาณสารพิษจากเชื้อราในอาหารด้วยนะครับ หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กลุ่มความปลอดภัยในอาหาร กองผลิตภัณฑ์อาหารและวัสดุสัมผัสอาหาร โทรศัพท์ 02-201-7195

"หมดอายุ" หรือ "บริโภคก่อน" ต่างกันอย่างไร??

DRD02

ในการเลือกซื้ออาหารนั้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องดูทุกครั้ง คือฉลาก เพื่อดู วันที่ผลิต/หมดอายุ วิธีการเก็บรักษา วิธีปรุง และคำเตือนต่างๆ แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับว่า บางฉลากใช้คำว่า “หมดอายุ” หรือ “ควรบริโภคก่อน” ซึ่ง 2 คำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ Dr.DSS จะมาบอกให้ทราบครับ
.
“หมดอายุ” ตัวย่อ EXP ย่อมาจาก Expire หมายถึง วันที่อาหารนั้นหมดอายุ หลังจากวันนั้นแล้วอาหารจะเน่าเสีย หรือบูด ห้ามรับประทาน ควรนำไปทิ้ง
.
“ควรบริโภคก่อน” ตัวย่อ BBE ย่อมาจาก Best Before หมายถึง อาหารจะมีรสชาติดี ยังคงคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามที่ระบุไว้บนฉลากอาหารจนถึงวันนั้น หลังจากวันนั้นไปรสชาติ คุณภาพและคุณค่าทางอาหารจะลดลง เช่น ความสด กลิ่นหอมอาจลดลง ไม่กรอบเหมือนเดิม แต่จะไม่มีปัญหาในเชิงความปลอดภัย จึงยังสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตราย แต่อาจไม่ได้ประโยชน์จากอาหารนั้นตามที่ระบุไว้บนฉลากอาหารก็ได้ และจะกำหนดวันล่วงหน้าไว้ระยะหนึ่งก่อนที่อาหารนั้นจะหมดอายุหรือเสีย
.
แต่ทั้งนี้ก่อนรับประทานอาหารเพื่อนๆ ควรสังเกตคือ รูปลักษณ์ของอาหาร เช่น สี กลิ่น รส เนื้อสัมผัส หากเปลี่ยนไปแต่ยังไม่ถึงวันหมดอายุที่กำหนด ก็ไม่ควรรับประทานเพราะอาจเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการขนส่ง หรือการเก็บรักษาก็ได้

Page 1 of 2