ข่าวประชาสัมพันธ์

(ข่าวที่ 97/2567) รัฐมนตรี “ศุภมาส” หนุนไทยเป็นผู้นำโลก ผลิตและส่งออกอาหารสัตว์ให้ วศ. อว. เร่งผลิตวัสดุและห้องปฏิบัติการอ้างอิง เครือข่ายทั่วประเทศ รองรับตลาดโลก เพิ่มมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท

F486 1 F486 2

F486 4 F486 3

 

          วันที่ 21 เมษายน 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านอาหารสัตว์ในลำดับต้น ๆ ของโลก ทั้งกลุ่มอาหารสัตว์เศรษฐกิจและอาหารสัตว์เลี้ยง แนวโน้มการส่งออกอาหารสัตว์ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจไทยขยายตัว รองรับตลาดโลก เพิ่มมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท อว. ได้ควบคุมสินค้าเหล่านั้นให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและความปลอดภัย โดย รมว.อว. เน้นย้ำให้นำงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารให้ครบวงจร ครอบคลุมทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) พัฒนาศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารสัตว์ โดยเน้นกระบวนการผลิต (manufacturing process) การประกันคุณภาพของห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ (quality assurance) และการควบคุมคุณภาพ (quality control) ของสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ให้ วศ.อว. เร่งผลิตวัสดุและพัฒนาห้องปฏิบัติการอ้างอิง พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศเพื่อรองรับตลาดโลก เพิ่มมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท ให้ได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
           นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวง อว. ตระหนักถึงการส่งเสริมพัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตรวจวิเคราะห์ทดสอบ และระบบการประกันคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ตามนโยบายของ รมว. อว. จึงเร่งให้ วศ. ผลิตวัสดุอ้างอิงตามมาตรฐานสากล สร้างการตรวจสอบกลับ เพื่อมั่นใจผลการวัดและควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญของ วศ. ที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ ได้เข้าไปมีบทบาทในระบบการประกันคุณภาพการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปี โดยการส่งเสริมห้องปฏิบัติการทดสอบด้านอาหารสัตว์ทั่วประเทศ จำนวนไม่น้อยกว่า 150 ห้องปฏิบัติการ ให้เข้าร่วมเปรียบเทียบผลการวัดระหว่างห้องปฏิบัติการ และเร่งผลิตวัสดุ พร้อมทั้งพัฒนาห้องปฏิบัติการอ้างอิง ทั้งนี้ วศ.อว. พร้อมสร้างเครือข่ายห้องปฏิบัติการทั่วประเทศ โดยการวิเคราะห์หาปริมาณสารและองค์ประกอบหลักต่าง ๆ ในอาหารสัตว์จำพวกอาหาร เช่น เป็ด ไก่ ปลา วัว สุนัข เพื่อประเมินสมรรถนะของห้องปฏิบัติการว่ามีความสามารถในการทดสอบ ให้ค่าผลการวัดที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ปัจจุบัน วศ. สามารถผลิตวัสดุอ้างอิงด้านอาหารสัตว์ รายการ Water-soluble chlorides (as NaCl) รายการ minerals (Ca, Cu, Fe, Mg, Mn, K, Na, Zn และ P) และรายการ Moisture, Protein, Crude fat, Crude fiber and Ash ตามมาตรฐาน ISO 17034 และ ISO Guide 35 ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน พร้อมมีห้องปฏิบัติการนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของวิธีทดสอบ การทวนสอบของวิธีทดสอบ การสร้างและพัฒนาห้องปฏิบัติการเครือข่าย และควบคุมคุณภาพของห้องปฏิบัติการ ไม่น้อยกว่า 379 ห้องปฏิบัติการ โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้ยื่นขอการรับรองการเป็นผู้ผลิตวัสดุอ้างอิง (reference material producer) ตามมาตรฐานสากลต่อไป เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของห้องปฏิบัติการในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมบริการอาหารแห่งอนาคต
           นายแพทย์รุ่งเรืองฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตวัสดุอ้างอิงอาหารสัตว์ในประเทศ ช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิต ประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัสดุอ้างอิงจากต่างประเทศ และได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ วศ.อว. เตรียมขยายการผลิตวัสดุอ้างอิงอื่น ๆ ให้ครอบคลุมกับความต้องการของภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วยการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ต่อไป

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2201 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctor

(ข่าวที่ 96/2567) อธิบดี วศ.อว. "หมอรุ่งเรือง" ห่วงอาหารเป็นพิษพุ่งช่วงหน้าร้อน แนะ!! ประชาชนบริโภคน้ำแข็งอย่างระวัง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ถูกสุขลักษณะ ได้มาตรฐาน GMP

 

F485 1 F485 2

 

           ปัจจุบันประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม–เมษายน ทำให้น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีม เป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมคลายร้อนของผู้บริโภค ถ้าหากขั้นตอนการผลิตและการเก็บรักษาไม่ดี อาจเกิดการปนเปื้อนและเกิดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษอันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และโรคอุจจาระร่วง ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค
           นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนว่า น้ำแข็งเกิดจากการนำน้ำเข้าสู่กระบวนการลดอุณหภูมิจนเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง น้ำแข็งในไทยหลัก ๆ แบ่งได้ 2 แบบ คือ น้ำแข็งป่นและน้ำแข็งหลอด ทั้งนี้ น้ำแข็งที่ปลอดภัยสามารถนำมารับประทานได้ต้องผลิตจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข มีวิธีการผลิตที่ถูกสุขลักษณะได้มาตรฐาน GMP ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ สถานที่ผลิต เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต คุณภาพน้ำที่ใช้ผลิต ภาชนะบรรจุ กระบวนการบรรจุ กระบวนการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค การควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงสุขลัษณะของผู้ปฎิบัติงานและการควบคุมเรื่องสัตว์แมลงต่าง ๆ อีกทั้งผู้บริโภค               ต้องสังเกตรายละเอียดบนฉลาก โดยข้อสังเกตของน้ำแข็งที่ถูกสุขลักษณะ ประกอบด้วย
          1. มีข้อความว่า “น้ำแข็งใช้รับประทานได้” ด้วยตัวอักษรสีน้ำเงิน
          2. มีเครื่องหมายรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
          3. มีชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต น้ำหนักสุทธิเป็นกรัมหรือกิโลกรัม ที่ชัดเจน
          4. บรรจุอยู่ในถุงหรือบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพและอยู่ในสภาพดีไม่มีรอยฉีกขาด
          5. หลีกเลี่ยงการรับประทานหรือซื้อน้ำแข็งจากผู้ขายรายนั้น หากพบตะกอนบริเวณก้นแก้วหลังจากน้ำแข็งละลาย
          6. หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำแข็งที่ใช้ในการแช่อาหารร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก หรือขวดน้ำก็ตาม ในถังน้ำแข็งควรมีแต่น้ำแข็งและที่ตักน้ำแข็งแบบมีด้ามเท่านั้น
          7. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งที่ขนส่งโดยถุงกระสอบหรือน้ำแข็งบดบรรจุกระสอบ
          ทั้งนี้ วศ.อว. แนะนำให้ผู้บริโภคปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หมั่นสังเกตลักษณะของน้ำแข็งที่จะบริโภคต้องใสสะอาด ไม่มีคราบ สีหรือกลิ่นที่ผิดปกติ ไม่มีฝุ่นผงหรือสิ่งแปลกปลอมในก้อนน้ำแข็ง โดยเลือกซื้อจากแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ถูกสุขลักษณะเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต หรือ GMP เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนดังกล่าว

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2201 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctor

(ข่าวที่ 95/2567) กรมวิทย์บริการ ชี้ กระดาษห่อไก่ทอด อาจมีสารพิษตกค้างที่เกิดโทษต่อร่างกายในระยะยาวได้ ถ้ากระดาษที่ใช้ไม่ได้รับการรับรองว่าสัมผัสอาหารได้

F484 4 F484 1

F484 6 F484 3

 

          จากกรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่คลิปร้านขายไก่ทอดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการนำไก่ที่ปรุงรสไปใส่ในถุงกระดาษ แล้วนำไปทอดในน้ำมันเดือดๆ จนไก่สุก หรือเรียกว่า กระดาษห่อไก่ทอด
.
          ดร.กนิษฐ์ ตะปะสา รักษาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิเคราะห์ทดสอบ โฆษกกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวง การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่าปัจจุบันเยื่อกระดาษที่นำมาผลิตกระดาษจะมีอยู่ 2 ประเภทคือเยื่อบริสุทธิ์ (เยื่อกระดาษจากต้นไม้) และเยื่อรีไซเคิล โดยกระบวนการผลิตเยื่อบริสุทธิ์นั้นมีการใช้สารเคมีในหลายขั้นตอน เช่น การต้มเยื่อจะใช้สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือโซดาไฟ ที่ทำให้ได้เยื่อสีน้ำตาล และขั้นตอนการฟอกเยื่อจะใช้สารประกอบคลอรีนเป็นสารเคมีหลัก ซึ่งจะทำให้ได้เยื่อสีขาว สารเคมีที่ใช้เหล่านี้จะถูกชะล้างด้วยน้ำออกเกือบหมดหรือเหลือตกค้างในปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็อาจจะมีโลหะหนักตกค้างในเยื่อได้ ซึ่งโลหะหนักอาจปนเปื้อนมาจากหลายแหล่ง เช่น ปนมากับน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต หรือปนมากับน้ำมันที่ใช้กับเครื่องจักรในการผลิต เป็นต้น ส่วนเยื่อรีไซเคิลที่นำกระดาษใช้แล้วมาปั่นรวมกันแล้วแยกสิ่งแปลกปลอมออก ผ่านขั้นตอนการกำจัดหมึก (Deinking) เยื่อกระดาษที่ได้ยังมีสารพิษปนเปื้อนที่ขจัดออกไม่หมดตกค้างอยู่มาก
.
          ถ้ากระดาษที่ใช้ห่อไก่ทอดตามคลิป หรือกระดาษที่ใช้รองรับหรือสัมผัสอาหารที่ปรุงด้วยความร้อน เช่น ใช้กรองของเหลวร้อน อุ่นอาหาร หรือปรุงสุกอาหาร ไม่ได้รับการรับรองว่าสัมผัสอาหารได้ อาจมีสารเคมีอันตรายหรือโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท โครเมียม และสารกลุ่มทาเลต ที่ปนอยู่ในเนื้อกระดาษ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ปนเปื้อนออกมาสู่อาหารและเข้าสู่ร่างกายก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ โดยเฉพาะถ้ากระดาษประเภทนั้นทำจากเยื่อรีไซเคิลหรือมีส่วนผสมของเยื่อรีไซเคิล ความเสี่ยงต่อสารพิษก็ยิ่งจะมีเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
.
          สำหรับการนำไก่ใส่ถุงกระดาษแล้วนำลงไปทอดในน้ำมันเดือดๆ นั้น แม้ว่ากระดาษที่ใช้จะถูกออกแบบมาให้ทนกับความร้อนสูงได้ ซึ่งกระดาษจะมีจุดติดไฟได้เองประมาณ 220 องศาเซลเซียส และน้ำมันสำหรับทอดไก่จะมีอุณหภูมิประมาณ 175-190 องศาเซลเซียส ทำให้กระดาษไม่ลุกติดไฟ แต่ด้วยความร้อนสูงดังกล่าวอาจจะเป็นตัวเร่งทำให้สารพิษที่ตกค้างในกระดาษปนเปื้อนออกมาสู่อาหารได้มากยิ่งขึ้น
.
           โฆษกกรมวิทยาศาสตร์บริการ แนะนำประชาชนควรเลือกซื้อกระดาษสัมผัสอาหารหรือซื้ออาหารจากร้านที่ใช้กระดาษสัมผัสอาหาร ที่ได้รับการรับรองว่า สามารถสัมผัสอาหารได้ โดยดูที่ฉลากจะระบุข้อความว่าสัมผัสอาหารได้ หรือได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่เกี่ยวกับกระดาษสัมผัสอาหารซึ่งปัจจุบันจะมี 2 มาตรฐาน คือ มอก. 2948-2562 กระดาษสัมผัสอาหาร (Paper for food contact) ซึ่งครอบคลุมกระดาษสำหรับใช้กับอาหารทั่วไป และ มอก. 3438-2565 กระดาษสัมผัสอาหาร สำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน (Cooking paper) ซึ่งครอบคลุมกระดาษสำหรับใช้สัมผัสอาหาร เพื่อกรองของเหลวร้อน อุ่นอาหารหรือปรุงอาหารที่อุณหภูมิไม่เกิน 220 องศาเซลเซียส
.
          ทั้ง 2 มาตรฐานจะมีการควบคุมและทดสอบปริมาณสารเคมีอันตราย หรือโลหะหนักที่มีโอกาสปนเปื้อนกับอาหาร เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท สารฟอกนวล สารต้านจุลินทรย์ และสารกลุ่มทาเลต ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายกับผู้ใช้ รวมทั้งการควบคุมกระบวนการผลิต และสถานที่ผลิตจะต้องถูกสุขลักษณะที่ดี และต้องได้รับการรับรองตามหลักเกณฑ์ของสากล เช่น GMP HACCP หรือ BRC ด้วย โดยต้องเลือกใช้ให้ถูกว่าเราต้องการใช้กระดาษสัมผัสอาหารแบบใช้กับอาหารทั่วไปหรือใช้สำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน และสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับอาหารทอดนั้น คือน้ำมันที่ใช้ทอด หากเป็นน้ำมันที่ทอดซ้ำหลายครั้งหรือน้ำมันที่เสื่อมคุณภาพ จะมีสารก่อมะเร็งแน่นอน ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2201 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctor

 

(ข่าวที่ 94/2567) รัฐมนตรี “ศุภมาส” ให้ วศ.อว. ยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ล่าสุดเพิ่มศักยภาพ ได้กว่า 100 ราย เพิ่มรายได้กว่า 1 พันล้านบาท

F483 3 F483 2

F483 4 F483 1

 

            วันที่ 19 เมษายน 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าให้มีความสามารถในการแข่งขัน และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมก้าวทันอนาคต โดยการนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการSMEs ให้มีความสามารถในการผลิตนวัตกรรมอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ซึ่งล่าสุดได้ดำเนินการเพิ่มศักยภาพ ได้กว่า 100 ราย เพิ่มรายได้ สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 1 พันล้านบาท
           นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กล่าวว่า จากการที่ผู้ประกอบการ SMEs ประสบปัญหาจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ความสามารถในการซื้อขายของผู้บริโภคลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหาร SMEs ต้องปิดกิจการไปหลายรายและยังอยู่ในสภาวะฟื้นตัว
           วศ.อว. จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอาหาร ซึ่งมีกระบวนการตั้งโจทย์ และปัญหาที่พบร่วมกับผู้ประกอบการอาหาร เพื่อให้มีการแก้ปัญหาและพัฒนาสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriated technology) โดยดำเนินการวิจัยในห้องปฏิบัติการแปรรูปอาหาร ห้องทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ห้องทดสอบรสชาติอาหารไทยของ วศ.อว. เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบมีการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสอาหารให้มีข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคด้านความชอบและการยอมรับ
           ผลจากการดำเนินโครงการดังกล่าวฯ ทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลดลง สามารถเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง วศ.อว. ได้นำองค์ความรู้ด้านการผลิตฯ ที่มีคุณภาพความปลอดภัยตามข้อกำหนดของ อย. ไปถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการอาหาร SMEs มากกว่า 100 ราย โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและแก้ปัญหากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพความปลอดภัย เก็บรักษาได้นาน เช่น ผลิตภัณฑ์สาคูกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เม็ดไข่มุกจากสาคู ผลิตภัณฑ์บะหมี่จิ้งหรีด ผลิตภัณฑ์ครีมเทียมเจ สูตรต้นแบบแป้งกล้วยทอดกรอบผลิตภัณฑ์ถั่วดาวอินคาแผ่นกรอบ ผลิตภัณฑ์ไซรัปกัญชง พัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำพริกอ่องกึ่งสำเร็จรูปด้วยเทคโนโลยี Freeze drying พัฒนากระบวนการเก็บรักษาน้ำจิ้มข้าวมันไก่ เป็นต้น
           นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวเพิ่มเติมว่า วศ.อว. มุ่งมั่นในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการอาหารได้อย่างแท้จริง และในอนาคต วศ.อว. จะขยายผลการดำเนินงานสู่ผู้ประกอบการอาหารทั่วประเทศ สนับสนุนการสร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคตให้สอดรับกับบริบทการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนอย่างมั่นคง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2201 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctor

(ข่าวที่ 93/2567) “หมอรุ่งเรือง” อธิบดี วศ. แนะวิธีรับมือสารแอมโมเนีย ผู้ได้รับผลกระทบต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อาจอันตรายเสียชีวิต พบอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์

F482 3 F482 1 F482 2

 

          จากกรณีเกิดการรั่วไหลของ “สารแอมโมเนีย” อย่างรุนแรง มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 160 คน เหตุเกิดภายในโรงงานน้ำแข็งราชา เลขที่ 54 ถนนชัยพรวิถี (ซอยหนองปรือ) หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งในที่เกิดเหตุพบว่ามีกลุ่มควันสีขาวลอยพวยพุ่งอยู่ในชั้นอากาศ สูงจากพื้นดินประมาณ 3-4 เมตรในปริมาณมาก ซึ่งมีกลิ่นคล้ายสารแอมโมเนียใช้ในการผลิตน้ำแข็ง เมื่อสูดเข้าไปจะมีอาการแสบคอ หายใจไม่ออก และแสบตาอย่างมาก
          นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลว่า “แอมโมเนีย” ชื่อทางเคมี คือ แอมโมเนีย แอนไฮดรัส (Ammonia Anhydrous) สูตรเคมี คือ NH₃ มวลโมเลกุล 17.03 จุดเดือด -33.35 องศาเซลเซียส จุดหลอมเหลว -77.7 องศาเซลเซียส มีสถานะทั้งที่เป็นของเหลวและก๊าซ ตามที่เป็นข่าวนั้นคือ แอมโมเนียในสถานะก๊าซเป็นก๊าซที่ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนรุนแรง สามารถละลายน้ำได้ดี จัดเป็นสารเคมีอันตรายประเภท ก๊าซพิษและกัดกร่อน (Gases-Corrosive) เนื่องจากมีจุดเดือดต่ำ ราคาถูก ไม่ทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศเมื่อเทียบ กับสารทำความเย็นคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ชนิดอื่นๆ และมีประสิทธิภาพสูงในการทำความเย็น จึงนิยมนำมาเป็นสารนำความเย็นในระบบทำความเย็นโดยเฉพาะโรงงานทำน้ำแข็งและอุตสาหกรรมห้องเย็น เมื่อเกิดการรั่วไหลก๊าซแอมโมเนียจะรวมตัวกับความชื้นในอากาศทําให้เกิดเป็นหมอกควันสีขาวของแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์
           ก๊าซแอมโมเนียมีความเป็นพิษและอันตรายต่อมนุษย์ในลักษณะความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxic) ถ้าได้รับปริมาณน้อยๆ อยู่เป็นประจำจะมีอาการพิษเรื้อรัง ถ้าได้รับปริมาณสูง ทำให้เสียชีวิตได้ในทันที โดยมีอันตรายต่อร่างกาย ประกอบด้วย
          1. สัมผัสทางการหายใจ: การหายใจเข้าในปริมาณมากกว่า 25 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ทำให้ระคายเคืองจมูกและคอ ถ้าได้รับในปริมาณมากจะหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก หลอดลมบีบเกร็ง มีเสมหะและปอดบวม มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาเจียน ความดันโลหิตเพิ่ม
          2. สัมผัสทางผิวหนัง: ถ้าได้รับปริมาณมากในระยะสั้น ๆ ทำให้เกิดอาการคันที่ผิวหนัง เป็นผื่นแดง บวม เป็นแผล ถ้าได้รับปริมาณมากๆ และมีความเข้มข้นสูงทำให้ผิวหนังไหม้แสบ บวม เป็นน้ำเหลืองจากความเย็น
          3. สัมผัสถูกตา: ทำให้เจ็บตา ตาบวม น้ำตาไหล คันที่ดวงตา ถ้าได้รับซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวทำให้เกิดอาการระคายเคืองเรื้อรังต่อตาอย่างถาวร
          4. การกินเข้าไป: ทำให้เกิดอาการแสบไหม้บริเวณปาก คอ หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
          5. ทำลาย ไต ตับ ปอด ในกรณีที่ได้รับสารแอมโมเนียจำนวนมาก
           ทั้งนี้ หากพบอาการผิดปกติจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลและมีอาการตาอักเสบ น้ำตาไหล หายใจหอบถี่ แสบคอ จมูก หรือผิวหนังอักเสบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและพบแพทย์โดยทันที นอกจากนี้หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่วางไว้ในบ้านและไม่มีการป้องกันช่วงเกิดเหตุ เพราะอาจได้รับก๊าซแอมโมเนียเข้าสู่ร่างกายได้ ในด้านป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหมั่นสังเกตความผิดปกติ ถ้าได้กลิ่นก๊าซแอมโมเนียให้รีบอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ไปยังจุดที่ปลอดภัยไม่ได้รับกลิ่นก๊าซดังกล่าว ซึ่งถ้าไม่สามารถอพยพได้ให้อยู่ในบ้านรีบปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด พร้อมสวมใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีตลอดเวลาเพื่อไม่ให้รับสัมผัสสูดดมก๊าซพิษเข้าสู่ร่างกาย

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2201 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctor

 

  1. (ข่าวที่ 92/2567) รมว. “ศุภมาส” ให้ วศ.อว. ผลักดันผลิตภัณฑ์ขึ้นบัญชีนวัตกรรม ล่าสุด “แผ่นรองฝ่าเท้าสุขภาพ ผลิตได้เองในประเทศ ผู้ป่วยพึงพอใจ เริ่มใช้งานใน รพ. ทั่วประเทศ”
  2. (ข่าวที่ 91/2567) วศ.อว. จัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ สาขาสิ่งแวดล้อมการวัดค่า Chemical Oxygen Demand (COD)
  3. (ข่าวที่ 90/2567) วศ.อว. จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรและกิจกรรมฟังบรรยายธรรมะ ส่งเสริมพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี
  4. (ข่าวที่ 89/2567) วศ.อว. จัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ เรื่อง การตรวจวิเคราะห์หาปริมาณของแข็งละลายน้ำ (Total Dissolved Solids : TDS)
  5. (ข่าวที่ 88/2567) รัฐมนตรี “ศุภมาส” ห่วงใยประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ แนะให้ใช้ “ดินสอพอง” ที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัย หลัง วศ.อว. ตรวจพบกว่าร้อยละ 42.6 ปลอม เสี่ยงอันตราย
  6. (ข่าวที่ 87/2567) กรมวิทยาศาสตร์บริการ จัดกิจกรรม “รดน้ำชุ่มฉ่ำ ฟังธรรมชุ่มใจ วศ.อนุรักษ์ประเพณีไทย สานสายใยผู้อาวุโส ประจำปี 2567” นิมนต์หลวงพ่ออลงกต รับบิณฑบาต และเทศนาธรรมเพื่อความเป็นสิริมงคแก่ชาว วศ.อว. เนื่องในเทศกาลสงกรานต์
  7. (ข่าวที่ 86/2567) “หมอรุ่งเรือง” ยืนยันข้อมูลวิทยาศาสตร์ วศ.อว “แกงไตปลา” อาหาร อัตลักษณ์ปักษ์ใต้ของไทย มีประโยชน์สูงต่อสุขภาพ
  8. (ข่าวที่ 85/2567) ด่วน รมว. ศุภมาส สั่งการหน่วยปฏิบัติการ “DSS วศ.อว” พร้อมลงพื้นที่ กรณีแคดเมี่ยมสมุทรสาคร เร่งเฝ้าระวังควบคุม ป้องกันผลกระทบประชาชนและสิ่งแวดล้อม
  9. (ข่าวที่ 84/2567) วศ.อว. ร่วมหารือแนวทางการดำเนินงานสนองพระราชดำริ อพ.สธ. กับ 3 หน่วยงานเครือข่ายภาคใต้ ในการอนุรักษ์พืชท้องถิ่นและใกล้สูญพันธุ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  10. (ข่าวที่ 83/2567) วศ.อว. พัฒนาคุณภาพห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพน้ำฯ หนุนสร้างความน่าเชื่อถือในผลการทดสอบและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล